ณ ชานเมืองของกรุงเทพมหานคร มีเด็กชายตัวน้อยอายุ 3 ขวบ คนหนึ่งอาศัยอยู่ เขาลุกขึ้นจากพรมแล้วเดินไปยังกระดานข่าวที่ผนัง เด็กน้อยวาดภาพอย่างเพลิดเพลินด้วยปากกาหมึกสีส้ม ก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม “เรา มีความสุขมากค่ะ” คุณสุมาลี ธรรมสมบัติดี คุณแม่วัย 35 ปี กล่าว “สองถึงสามวันก่อนหน้านี้เราต้องคอยคะยั้นคะยอให้น้องโพลเดิน แต่น้องก็เดินได้ไม่ถึง 10 ก้าว” คุณแม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กน้อยในฝัน
ขณะสัมภาษณ์อยู่นั้นน้องโพลก็เดินเตาะแตะไปรอบๆ พร้อมกับยิ้มกว้าง เด็กชายตัวน้อยมีความสุขกับการหยิบจับโทรศัพท์ของเล่น เขียนกระดาน และช่วยพี่สาวระบายสีในสมุด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า 1 เดือนก่อนหน้านี้ เขาจะไม่สามารถเล่นและเดินไปรอบ ๆ แบบนี้ได้
น้องโพลเกิดเมื่อเดือน ตุลาคม ปี พ.ศ.2549 จากการตั้งครรภ์ด้วยขบวนการเด็กหลอดแก้ว (IVF) คุณสุมาลี เล่าว่า “เรามีลูกสาวอยู่แล้ว 2 คน เลยอยากได้ลูกชายสักคนเพื่อมาเติมเต็มชีวิตครอบครัว ตอนนั้นเราดีใจมากค่ะที่ทราบว่ากําลังจะได้ลูกชาย” ขณะนั้นคุณสุมาลีตั้งใจจะคลอดด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งบุตรที่คลอดออกมาตอนนั้นก็ดูสมบูรณ์แข็งแรงดี
ทั้งๆ ที่เด็กน้อยมีความน่ารักและได้รับการดูแลอย่างดีแล้ว แต่สิ่งที่คุณสุมาลีก็ยังคงวิตกกังวลคือ ลูกชายไม่สามารถนั่งได้ขณะที่มีอายุ 7 เดือน ซึ่งคุณแม่บอกกับเราว่า “หากถามคุณหมอ คุณหมอก็จะบอกว่า ไม่ต้อง กังวล เพราะเด็กบางคนอาจมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ” แต่เมื่อครบ 1 ขวบ แล้วลูกชายก็ยังลุกขึ้นมานั่งไม่ได้ จึงเริ่มเห็นได้ชัดว่าลูกมีความผิดปกติ เธอยังกล่าวต่ออีกว่า “เขาเป็นเด็กที่น่ารักมาก และเราไม่อยากให้ความพิการนี้เป็นปมด้อยกับเขาค่ะ”
ตอนแรกไม่มีใครทราบว่าปัญหานี้เกิดจากอะไร ซึ่งแพทย์ต้องใช้เวลาถึง 8 เดือนก่อนที่จะสรุปออกมา เป็นคําพูดได้ว่าปัญหาที่พบเกิดจากภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด สิ่งที่ทําให้การวินิจฉัยล่าช้า เนื่องมาจากแพทย์ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบกระดูกสันหลัง และกระดูกอื่นๆ รวมถึงหลายๆ ปัจจัยเพื่อตัดสาเหตุของปัญหาที่อาจเป็นเหตุให้เด็กเกินไม่ได้ ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด (CP) นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละราย และไม่สามารถใช้การตรวจสอบเบื้องต้นเพื่อค้นหาปัญหาได้

อาการทั่วไป
ภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิดเป็นสาเหตุของความพิการหลายชนิด ซึ่งมักส่งผลให้เด็กเกิดอาการชักกระตุก ผลของภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด มีตั้งแต่อาการเล็กน้อยถึงรุนแรง ซึ่งเด็กบางคนที่เป็นภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด ก็ดูปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นแค่บางครั้งที่จะตอบสนอง ช้ากว่าเด็กปกติ และร้อยละ 20 มักจะมีสภาวะจิตใจผิดปกติ แม้ว่าพวกเขาจะมีความผิดปกติในด้านการควบคุม การแสดงออกและการตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ตาม แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดูเหมือนคนปกติ ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทําให้ หลายคนเชื่อว่าเด็กกลุ่มนี้มีสติปัญญาต่ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วบางคนก็ฉลาด
ผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท ไทย สเตมไลฟ์ จํากัด ดร. Konstantinos Papadopoulos หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า คร. Kostas กล่าวว่า “ภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด เป็นสภาวะที่เกิดจากสมองเจริญไม่เต็มที่ ทั้งก่อนหรือหลังจากการคลอด โดยจะพบได้บ่อยขึ้นหากมีปัญหาระหว่างการคลอด และหลายคนเชื่อว่าปัญหาการขาดออกซิเจนและการติดเชื้อก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด จะทําให้ทักษะทางการเคลื่อนไหวผิดปกติ จึงดูคล้ายอาการของโรคชักกระตุก หรืออัมพาต ซึ่งโรคนี้พบได้ง่ายกว่าที่คิด เพราะสามารถ พบได้ถึง 1 ใน 500 รายของเด็กทารก และในเด็กที่คลอดก่อนกําหนดจะพบได้มากถึง 1 ใน 3 นอกจากนี้ยัง พบว่าร้อยละ 20 ของเด็กที่เป็นภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด มีปัญหาทางจิตและมักเกิดกับทารกที่คลอดก่อนกําหนด
ในกรณีของน้องโพลซึ่งดูคล้ายกับเด็กอายุ 3 ขวบคนอื่น ๆ เว้นแต่เพียงว่าเขามีกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง ซึ่งสภาวะนี้เกิดจากอัมพาตแบบเกร็ง โดยแพทย์กล่าวว่าอาการเช่นนี้ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ และความหวังเดียวคือการรักษาด้วยกายภาพบําบัด เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อเสื่อมสมรรถภาพ จากคําแนะนํานี้ทําให้น้องโพลได้รับการทํากายภาพบําบัดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และให้ฝึกเดินเองที่บ้านทุกวัน และแม้ว่าจะทํากายภาพบําบัดแล้วก็ตาม น้องโพลก็สามารถเดินได้เพียงแค่ 10 ก้าวด้วยรองเท้าช่วยเดินนับได้ว่าอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โชคดีที่ครอบครัวของน้องโพลประกอบธุรกิจส่วนตัว คุณสุมาลี ผู้เป็นแม่จึงสามารถทํางานไปพร้อมๆ กับดูแลและพาลูกชายไปโรงพยาบาลเพื่อทํากายภาพบําบัดได้ นอกจากนี้พ่อและแม่ยังได้จัดพื้นที่ในสํานักงาน เพื่อน้องโพลทําให้คุณแม่ได้เล่นและฝึกน้องเดินด้วย คุณกิติกรณ์ สามีของคุณสุมาลีเล่าให้เราฟังว่า “จริงๆ แล้วภรรยาผมทํางานวันละ 2 ชั่วโมงครับ” เวลาอยู่ที่บ้านญาติทางสามีของคุณสุมาลีก็จะต้องคอยช่วยดูแลลูกสาวของเธออีก 2 คน หลังกลับจากโรงเรียนซึ่งทุกคนต่างก็เข้าใจว่าน้องโพลนั้นต้องการการดูแลเป็นพิเศษจากทั้งพ่อและแม่

การลงทุนเพื่ออนาคต
เพื่อเตรียมตัวรับมือกับปัญหาภาวะพิการทางกายและสมองตั้งแต่กําเนิด คุณสุมาลี และ คุณกิติกรณ์ จึงปรึกษาหารือกับแพทย์ รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคสมองอัมพาตทางอินเตอร์เน็ต ทั้งคู่ค้นหาข้อมูลจนมาพบกับเทคนิคใหม่ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีกับเด็กชายรายหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเด็กคนนั้นมีอาการใกล้เคียงกับน้องโพลบุตรชายของตน สิ่งที่คุณสุมาลี และ คุณกิติกรณ์ ทราบมีเพียงแค่ว่าหลังจากผ่าน ไป 18 เดือนเด็กชายคนนั้นก็เริ่มเดิน ว่ายน้ำ และพยายามที่จะวิ่งและอีกอย่างที่ทราบคือ ผู้ปกครองของเด็กได้เก็บสเต็มเซลล์จากรกและสายสะคือขณะคลอดเด็กชายผู้นั้น
การเก็บรักษาสเต็มเซลล์จากรกและสายสะดือของทารกแรกคลอดเป็นสิ่งมีประโยชน์ที่นิยมปฏิบัติกัน ในกลุ่มผู้ปกครองที่คลอดบุตรในโรงพยาบาลซึ่งสามารถเก็บสเต็มเซลล์จากรกและสายสะดือดังกล่าวได้ โดยจะเก็บเลือกจํานวนหนึ่งจากสายสะดือตอนแรกคลอด นํามาผ่านกระบวนการและเก็บรักษาไว้ในธนาคารสเต็มเซลล์ โดยไม่มีกําหนด เลือดจากสายสะดืออันอุดมไปด้วยสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์ที่สามารถช่วยในการพัฒนาของทารก ในครรภ์ “เทคโนโลยีสเต็มเซลล์สามารถรักษาความเจ็บป่วยได้มากมาย ทั้งธาลัสซีเมีย โรคหัวใจ และแผล เบาหวาน” ดร. Kostas กล่าว
คุณพ่อของน้องโพล บอกว่า “เราโชคดีครับ ที่เก็บสเต็มเซลล์จากรกและสายสะคือตอนคลอดน้องโพล …พี่สาวผมเป็นคนแนะนําให้ทําครับ พี่สาวเขาเก็บสเต็มเซลล์จากรกและสายสะดือของลูกชาย เลยแนะนําให้ ครอบครัวผมทําเหมือนกัน” “ตอนแรกเราก็ไม่ทราบว่าจะมีประโยชน์อย่างไรนะคะ แต่พอเทียบการเก็บรักษาเลือดไว้ตลอดชีวิตกับราคา 130,000 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่าค่ะ คือเราคิดว่ามันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต กรณีที่เกิดอะไรขึ้นกับลูก และที่สําคัญดิฉันไม่รู้ด้วยค่ะว่าดิฉันจําเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์นั้นรักษาลูกภายใน 3 ปีหลัง คลอด” คุณสุมาลีกล่าวเสริม
คุณสุมาลี และสามี ขอคําปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางที่ธนาคารเลือดจากสายสะดือเกี่ยวกับเด็กรายอื่นที่ รักษาวิธีเดียวกันนี้ นอกจากนี้ทั้งคู่ยังติดต่อสอบถามไปยังครอบครัวของเด็กเหล่านั้นเกี่ยวกับอาการของลูกหลังการรักษาเมื่อคุณกิติกรณ์ มั่นใจแล้วว่าวิธีการรักษานี้ปลอดภัย ทั้งคู่จึงตัดสินใจที่จะให้ลูกเข้ารับการรักษา ซึ่งทั้ง สองทราบดีว่าเทคนิคการรักษานี้ยังอยู่ในระยะทําการทดลอง แต่ก็มีผู้ป่วยถึงกว่า 100 รายที่รักษาแล้วอาการดี ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลา 10 วัน เพราะว่าน้องโพล จําเป็นต้องฉีดยาบางอย่างก่อน แต่การรักษา จริง ๆ ใช้เวลาเพียง 10 นาที เท่านั้น ซึ่งเป็นการให้สเต็มเซลล์จากรกและสายสะคือปริมาตร 30 มิลลิลิตร (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) เข้าสู่เส้นเลือดดําของน้องโพล “หลังจากเอาปลายเข็มฉีดยาคาไว้ที่เส้นเลือดแล้ว น้องโพลก็ดูทีวีและหัวเราะกับการ์ตูน คุณหมอของน้องให้อยู่ห้องไอซียูต่อเพื่อดูอาการอีกหนึ่งวันค่ะ น้องมีอาการคัน บ้างตอนกลางคืนแต่พอเช้าก็หายเป็นปกติดีนะคะ” คุณสุมาลี กล่าวต่อ
“สเต็มเซลล์จากรกและสายสะดือเริ่มมีการใช้ในสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะแพร่หลายในยุโรปและเอเชีย ซึ่งปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีนี้ยังอยู่ขั้นการทดสอบในมนุษย์และยังไม่มีรายงานที่เขียนถึงผลของการรักษาดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเล็กๆ ที่ได้รับการรักษาด้วยสเต็มเซลล์จากรกและสายสะดือของตัวเอง กลับพบว่าสามารถยืนบนเท้าตัวเองได้เร็วกว่าการรักษาด้วยวิธีกายภาพบําบัดตามปกติ ซึ่งบางครั้งต้องใช้เวลานาน 8 ถึง 9 ปี ก่อนที่จะเห็น ความเปลี่ยนแปลงชัดเจน” ดร. Kostas กล่าว

เดินต่อไป!
“ผลที่เราเห็นหลังจากการรักษาเพียง 1 สัปดาห์ เป็นสิ่งที่ให้กําลังใจเรามากๆ ค่ะ” คุณแม่น้องโพลกล่าว “น้องโพลเคยไม่ชอบและเฉยเมยต่อการเดิน แต่หลังจากการรักษา เขาดูตื่นตัวและสนใจในสิ่งรอบตัว ตอนนี้เขาพูดชัดแล้วด้วยค่ะ”
คุณแม่กําลังใช้แขนเพียงข้างเดียวประคองลูกให้ยืน พร้อมกับชี้ไปยังเท้าทั้งสองข้างของลูก “ดูสิคะเท้าทั้งสองข้างทํามุมเหมือนเท้าปกติแล้ว ตอนนี้ไม่จําเป็นต้องใช้รองเท้าช่วยเดินอีกต่อไปแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ขาซ้ายเขาเคยมีปัญหาแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว และถึงแม้ว่าขาทั้งสองข้างของน้องอาจจะยังไม่แข็งแรงดีแต่เราก็ดีใจ และจะดีใจมากๆ ถ้าลูกดีขึ้นจนสามารถเดินด้วยตัวเองและไปโรงเรียนได้เหมือนกับเด็กคนอื่นค่ะ
ดร. Kostas กล่าวย้ำเพื่อให้คุณสุมาลีมั่นใจว่า “ผมทราบว่าน้องโพลอาจไม่หายดี 100% แต่ผม หวังว่ามันจะเพียงพอที่จะช่วยให้เขาเป็นปกติ และสร้างชีวิตให้เขาได้” คุณสุมาลีสรุป